แสงแดดเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยมีความยาวของคลื่นต่างกัน โดยซันนี่จะอธิบายง่ายๆว่า เจ้าแสงแดดเนี่ย สามารถปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาทั้งหมด 3 ประเภทใหญ่ๆด้วยกันคือ – 1. แสงอัลตามไวโอเลต (หรือที่เรียกกันว่า รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet Light) – 2. แสงที่ดวงตามองเห็น (Visible Light) – 3. แสงอินฟราเรด (Infrared) [อ้างอิง] . . . ซึ่งขณะที่แสงอาทิตย์เดินทางผ่านเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศของโลก ความยาวของคลื่นบางช่วงจะถูกดูดซับโดยชั้นบรรยากาศหรือไม่ก็สะท้อนกลับไป เหลือไม่กี่ชนิดที่จะผ่านลงมาสู่พื้นผิวโลก เช่น รังสี UV และรังสีอินฟาเรด เป็นต้น
แต่ในบทความนี้เราจะเน้นไปที่เรื่องผิวหนัง ซึ่งเจ้ารังสี UV นั้นเป็นตัวที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังพวกเรามากที่สุดในชีวิตประจำวัน เพราะมันสามารถทะลวงผ่านชั้นผิวหนังของเราได้ เป็นเหตุให้เกิด ผิวหมองคล้ำ , ริ้วรอย , ตีนกา , มะเร็งผิวหนัง หรือก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระที่ทำให้ผิวแก่ลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
รังสีอัลตราไวโอเลต ประกอบด้วยกลุ่มคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลายความยาวคลื่นด้วยกัน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้
เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 200-280 nm. ซึ่งเป็นช่วงความยาวคลื่นที่สั้นที่สุด จึงมีพลังงานมากที่สุดด้วย รังสี UVC จะถูกกรองที่ชั้นบรรยากาศของโลก และถึงแม้จะมีปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถทำให้เกิดผื่นแดงและทำให้สีผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนได้ แต่เราไม่ต้องเป็นกังวลกับเจ้า UVC เท่าไหร่นัก เพราะเกือบ 100% ถูกชั้นบรรยากาศกรองออกไปหมดแล้ว
มีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 280-320 nm. ซึ่งเป็นช่วงความยาวคลื่น ที่ทำให้เกิดผื่นแดงและไหม้เกรียมได้ เพราะมันสามารถทะลุผ่านผิวหนังชั้นสเตรตัม คอร์เนียม (Stratum corneum) และอีพิเดอมีส (Epidermis) ได้ ซึ่งรังสีนี้จะทำให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังอย่างรวดเร็ว เช่น ผิวไหม้เกรียม ผื่นแดง และก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
มีช่วงความยาวคลื่นอยู่ที่ 320-360 nm. รังสีช่วงนี้จะมีพลังงานต่ำที่สุด แต่มีอำนาจทะลุทะลวงผ่านชั้นผิวหนังได้ลึกที่สุด และมีผลกระทบเป็นวงกว้างต่อโครงสร้างชั้นผิวหนัง รังสีนี้แม้มีปริมาณเพียงเล็กน้อยก็สามารถทะลุผ่านชั้นหนังแท้ (Dermis) ได้ ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดสีเมลานินเพื่อมาป้องกันอันตรายจากรังสี UV [อ้างอิง] เป็นผลทำให้สีผิวคล้ำลงนั่นเอง
รังสี UVB มีผลทำให้เกิดอาการผิวไหม้แดงได้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนรังสี UVA ที่ปริมาณสูงก็ทำให้ผิวไหม้แดงได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ปริมาณรังสี UVA ที่ลงมาถึงผิวโลกจึงมีมากกว่ารังสี UVB มาก โดยรังสี UVA ที่สูงนี้สามารถทะลุผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ ทำให้เกิดการทำลายโครงสร้างผิวตามมา เช่น คอลลาเจนและอีลาสติน เป็นต้น
ดังนั้นยิ่งเราออกไปโดนแสงแดดเป็นเวลานานมากเท่าไหร เราก็จะได้รับผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลตเมากขึ้นเท่านั้น จากการศึกษาวิจัยค้นพบว่า แสงแดดช่วง 11:30 – 1:30 มีความเข้มข้นของรังสี UV สูงที่สุด [อ้างอิง] ซึ่งเจ้ารังสี UV จะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระที่ผิวหนัง ซึ่งอนุมูลอิสระนี้จะไปทำลายเซลล์ผิวหนังจากภายในเซลล์เอง นอกจากนี้ยังทำลายชั้นของเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้เกิดผิวหนังหมองคล้ำ หย่อนยาน เกิดรอยตีนกาและปัญหาผิวที่ตามามานับไม่ถ้วน จนเกิดอาการที่เรียกว่า แก่ก่อนวัยอันควรจากแสงแดด [อ้างอิง]
ดังนั้นครีมกันแดดจึงมีส่วนช่วยในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้ จึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมเราจึงควรต้องใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันนั่นเอง